ปลายเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. 2561
ได้ไปลงพื้นที่โรงเรียนต่าง ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 8
โรงเรียน สิ่งหนึ่งที่พบความเปลี่ยนแปลง คือ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา
บุคลากรจากเขตพื้นที่การศึกษา มีความตื่นตัวต่อการประเมินผลระดับนานาชาติมากขึ้น
สอดคล้องกับคำกล่าวของท่าน ศ.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสสวท.
ที่เคยกล่าวไว้ว่า “การเปลี่ยนแปลงการวัดและประเมินผล
จะเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้ของครู การบริหารจัดการ
จนถึงการดำเนินงานต่าง ๆ ด้านการศึกษา”
โรงเรียนที่ไปลงพื้นที่ทั้ง
8
โรงเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้ง ๆ
ที่เป็นโรงเรียนที่ห่างกันเพียง 10-70 กิโลเมตร แต่ละสถานที่บริบทที่แตกต่างจำเป็นจะต้องใช้วิธีที่หลากหลายในการแก้ไข
บางโรงเรียนมีนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
แต่ครูที่มีอยู่แม้จะไม่ครบตามอัตราก็พยายาม เป็นสิ่งสะท้อนอย่างหนึ่งว่า แม้แต่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้
ซึ่งมีวิธีที่น่าสนใจคือการร่วมมือกันของบุคลากรทุกคนไม่แบ่งแยกกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแก้ปัญหาของนักเรียน
ซึ่งหากโรงเรียนใดร่วมมือกัน ความพร้อมของนักเรียน
และพัฒนาการที่สังเกตได้มักจะดีกว่าเสมอ โดยไม่เกี่ยวกับขนาดของโรงเรียนว่าเล็กหรือใหญ่
ใกล้หรือไกลเขตพื้นที่
ดังนั้น
จุดสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาทางการศึกษา คือ การมีส่วนร่วม
โดยเฉพาะการร่วมคิดร่วมทำ เพราะไม่มีใครรู้จักบริบทของสถานศึกษาเท่ากับบุคลากรภายในสถานศึกษา
ไม่มีใครรู้จักนักเรียนเท่ากับครูที่สอนนักเรียนคนนั้น
ตอนนี้ทุก
ๆ โรงเรียนในประเทศ มีสิ่งกระตุ้นที่เรียกว่า
PISA
หลาย
ๆ คนบอกว่า สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดของการสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์ คือ จะคิดว่าคอมพิวเตอร์มีความสำคัญอย่างมากเพราะเด็ก
ๆ ไม่เคยทำการทดสอบออนไลน์มากนัก
แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำการคิดลงสู่ห้องเรียน
การประเมินผล PISA ไม่ใช่แค่การทำข้อสอบในคอมพิวเตอร์
แต่เป็นการวัดสมรรถนะของนักเรียนว่าอยู่ในระดับใด
ถ้าอยากให้นักเรียนมีผลการประเมินระดับนานาชาติดี
ๆ ไม่ใช่การทำความคุ้นเคยกัยลักษณะของแบบวัดหรือข้อสอบ แต่ต้องจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสมรรถนะนั้น
ๆ ยกตัวอย่างเช้น การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ที่ PISA ให้
framework เอาไว้ แบ่งออกเป็น
3 สมรรถนะ คือ
1)
การอธิบายปรากฎการณ์เชิงวิทยาศาสตร์
2)
การประเมินและออกแบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
3)
การแปลความหมายของข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์
การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นสมรรถนะการอธิบายปรากฎการณ์เชิงวิทยาศาสตร์
สามารถทำได้โดยการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนใช้ความรู้เดิม
บวกกับสถานการณ์ใหม่ที่พบ มาสร้างคำอธิบายเป็นของตนเอง
การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการประเมินและออกแบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
สามารถทำได้โดยจัดให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์แนวการออกแบบการทดลองของตนเองและเพื่อนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรแนวทางไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นสมรรถนะการแปลความหมายของข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์สามารถทำได้โดยให้นักเรียนสรุปผลจากการค้นพบในการทดลองด้วยตนเองหรือการแสดงหลักฐานว่าหลักฐานใดสนับสนุนแนวคิดหรือไม่สนับสนุนแนวคิดของนักเรียน
และต้องเชื่อมโยงกับชีวิตจริง
เพราะสิ่งที่สำคัญคือการนำสมรรถนะเหล่านี้ลงไปสู่ชีวิตจริง
ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงการเรียนรู้ที่เลื่อนลอย
การประเมินผลระดับนานาชาติต่าง
ๆ ค่อย ๆ สร้างความตระหนักให้เราได้เห็นแล้วว่า การติว หรือการแก้ปัญหาระยะสั้น ๆ
แบบด่วนทันใจ ไม่ได้ทำให้ผลการประเมินดีขึ้นและยั่งยืน
ผมขอปิดท้ายบทความด้วยคำพูดที่ท่าน
ศ.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ กล่าวว่า “ตอนนี้การศึกษาไม่ได้ต้องการแค่ยาแดง ยาแก้ปวด
ที่รักษาตามอาการ แต่ต้องการวัคซีนที่ส่งผลระยะยาว”
Comments
Post a Comment