โครงการ "ห้องเรียนดนตรี"
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ขยายโครงการ "ห้องเรียนดนตรี" จากเดิม 3โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
"ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส" เพิ่มอีก 3 โรงเรียนในปีนี้ที่
"สมุทรสงคราม-กาฬสินธุ์-ลำพูน" รวมเป็น 6 โรงเรียน เพื่อมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนไทยผู้มีความสามารถพิเศษด้านดนตรี
ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาการได้เต็มศักยภาพ
ทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
สร้างโอกาสให้ผู้มีความสามารถได้เรียนตามความสนใจและความถนัด
เมื่อวันศุกร์ที่
11 พฤษภาคม 2561 ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, พล.อ.สุทัศน์
กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์
ชัยวงศ์) เป็นประธานแถลงข่าวโครงการห้องเรียนดนตรี โดยกล่าวว่าการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษ
เป็นบทบาทหน้าที่ที่รัฐบาลนานาประเทศให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่องยาวนาน
สำหรับประเทศไทยได้ให้การส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษในหลากหลายรูปแบบ
ตามความสนใจและความถนัดของผู้เรียน
ทั้งนี้
กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่า "ศิลปะและดนตรี"
เป็นวิชาที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจ สามารถสร้างคนให้เป็นคนดี มีจิตใจที่อ่อนโยน
และเป็นสื่อในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม
เมื่อปีการศึกษา
2560 จึงได้จัดทำโครงการ
"ห้องเรียนดนตรี" ในโรงเรียนพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย 1) โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี 2)
โรงเรียนคณะราษฎรบํารุง จังหวัดยะลา 3) โรงเรียนสุไหงโกลก
จังหวัดนราธิวาส เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านดนตรีแก่นักเรียนที่สนใจ
นอกจากนี้
ยังพบว่าในแต่ละโรงเรียนจะมีนักเรียนที่มีศักยภาพในหลากหลายสาขา
สมควรที่จะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้ได้เรียนตามความสนใจและความถนัด
เช่นเดียวกับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษในสาขาอื่น ๆ จึงได้มอบหมายให้ สพฐ.
คัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมที่จะเปิดเรียนเป็นห้องเรียนดนตรีในภูมิภาคต่าง ๆ
เพิ่มเติมจากภาคใต้ชายแดน
และปีการศึกษานี้
จะเปิดเพิ่มอีกอีก 3 โรงเรียนใน 3 ภูมิภาค ได้แก่ 1) โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย
จังหวัดสมุทรสงคราม "ห้องเรียนดนตรีไทย" (ม.1 จำนวน
30 คน ม.4 จำนวน 8 คน) โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
"ห้องเรียนดนตรีสากล" (ม.1 จำนวน 9 คน ม.4 จำนวน 5 คน)
และโรงเรียนจักรคำคณาทร จังหวัดลำพูน "ห้องเรียนดนตรีสากล" (ม.1 จำนวน 40 คน ม.4 จำนวน 40
คน)
โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียน ครู ผู้ปกครอง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษดนตรี
และส่งเสริมเด็กที่มีพรสวรรค์ให้ได้รับการพัฒนาการอย่างเต็มศักยภาพ
ตลอดจนช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
สร้างโอกาสให้ผู้มีความสามารถได้เรียนตามความสนใจและความถนัด
และสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนาการกับหน่วยงานทางการศึกษา ที่จะเป็นการส่งต่อนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น
และมีโอกาสประกอบอาชีพในอนาคต
ทั้งนี้ได้กำหนดแผนพัฒนาต่อเนื่องเป็นเวลา
3 ปี และมีเป้าหมายให้นักเรียนได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะด้านดนตรีในระดับมาตรฐานสากล
สร้างบุคลากรด้านดนตรีแก่ประเทศ นำมาซึ่งรายได้ ความคิดสร้างสรรค์ และความสงบสุข นอกจากนี้ยังเตรียมแผนที่จะคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 13
โรงเรียนภายในปีการศึกษา 2562 ด้วย
"ในส่วนของการนำเสนอผลงานนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านทัศนศิลป์
ด้านดนตรี และด้านนาฏศิลป์ รุ่นที่ 1-4 จำนวน 128 คน ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ต้องขอชื่นชมนักเรียนที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและแสดงออกซึ่งศักยภาพที่มีอยู่อย่างเหมาะสม
ขอขอบคุณผู้บริหารโรงเรียน คณะครู ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละสาขา ทั้งศิลปินแห่งชาติและวิทยากร ที่ถือเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กและเยาวชนที่ร่วมโครงการ
ให้เกิดความคิดในเชิงสร้างสรรค์ และค้นพบความชอบของตนเอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การตัดสินใจที่เลือกศึกษาต่อและประกอบอาชีพในอนาคต"
พล.อ.สุทัศน์ กล่าว
น.ส.อุษณีย์
ธโนศวรรย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า
สพฐ.ได้กำหนดแผนการสนับสนุนงบประมาณให้แก่โรงเรียนทั้ง 3 แห่ง
ๆ ละ 1 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเป็น
"ห้องเรียนมาตรฐาน" สำหรับการเรียนดนตรี ขนาด
8x8 เมตร จำนวน 3 ห้องเรียน ประกอบด้วยห้องเรียนรายบุคคลและห้องเรียนรวม
โดยขณะนี้ได้จัดทำรูปแบบรายการไว้เรียบร้อยแล้ว
และจะจัดสรรงบประมาณไปยังโรงเรียนเพื่อปรับปรุงอาคารต่อไป
เช่นเดียวกับงบประมาณด้านครุภัณฑ์ด้านดนตรี
สพฐ.ได้เตรียมการจัดสรรงบประมาณค่าครุภัณฑ์เครื่องดนตรี
ให้เพียงพอกับการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนทั้ง 3 แห่งแล้ว
น.ส.นิจสุดา
อภินันทาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า นักเรียนในโครงการฯ
จะต้องเรียนวิชาพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลาง
ส่วนการเรียนดนตรีจะกำหนดเป็นรายวิชาเพิ่มเติม
โดยจะมีการฝึกปฏิบัติการรวมวงและกิจกรรมนอกเวลาเรียนด้านดนตรี ไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมงต่อภาคเรียน โดย สพฐ.
จะจัดสรรครูอัตราจ้างที่เชี่ยวชาญเฉพาะไม่เกิน 5 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอนในรายวิชาดนตรีตามหลักสูตรที่กำหนด
นอกจากนี้
สพฐ.ยังได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ พร้อมกำหนดข้อตกลงในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา เพื่อพัฒนานักเรียนสู่ความเป็นเลิศด้านดนตรี ไม่ว่าจะเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ฯลฯ และได้มีข้อตกลงความร่วมมือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ในแต่ละภูมิภาค
ในการสนับสนุนบุคลากรด้านดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน
เพื่อให้นักเรียนโครงการห้องเรียนดนตรีมีบทบาทในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมด้วย และในปีการศึกษา 2562 จะเพิ่มอีก 13 โรงเรียนครบทุกภาคทั่วประเทศ"
ผู้รายงาน ดร.โชติมา หนูพริก* นาวสาวสิริรักษ์ ชูสวัสดิ์**
* นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ
** นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ กลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ ผู้รับผิดชอบโครงการ
เอกสารเพิ่มเติม (สรุปโครงการ และวีดิทัศน์)
Comments
Post a Comment